อยากหน้าใสทำอย่างไรดี? คำถามนี้สามารถตอบได้เลยว่าในปัจจุบันนี้มีหัตถการมากมายที่ช่วยทำให้ทุกคนหน้าดูกระจ่างใสและอ่อนเยาว์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฉีดไขมันหน้าเด็ก, เมโสหน้าใส, ฉีดวิตามินผิว หรืออย่างวิธีการทำ PRP หน้าใสที่จะนำเสนอในบทความนี้ก็เป็นหนึ่งในวิธีการฟื้นฟูสภาพผิวหน้าและช่วยทำให้หน้าดูใสขึ้นได้ ซึ่งจะทำได้อย่างไร มีข้อดี-ข้อจำกัดแบบไหน ไปจนถึงมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามไปอ่านรายละเอียดในบทความนี้ได้เลย
PRP คืออะไร
Platelet Rich Plasma หรือ PRP คือ วิธีการฟื้นฟูเซลล์ผิวหน้าด้วยการนำพลาสมาจากเลือดของคนไข้จากการปั่นแยกเลือดด้วยความเร็วสูงในระยะเวลาที่เหมาะสม แล้วคัดเฉพาะพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดและ Growth factor เข้มข้นออกมาฉีดกลับเข้าไปในผิวหนัง ซึ่งเลือดที่ได้จากการทำ PRP จะช่วยฟื้นฟูผิวอย่างปลอดภัย และยังสามารถทำควบคู่กับการบำรุงผิวหรือหัตถการอื่นๆ ได้อีกด้วย
PRP เหมาะกับใคร ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง
การทำ PRP หน้าใสจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากภายในเป็นหลัก เพื่อแก้ปัญหาผิวต่างๆ และมีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้อาการแพ้จากสารแปลกปลอม รวมถึงส่งผลให้เกิดการฟื้นฟูผิวหน้าทั้งหมด ซึ่ง PRP นั้นมีส่วนช่วยในเรื่องการบำรุงผิวหน้าได้ในหลายๆ ด้าน เช่น
คนที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน
สำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวขาดความยืดหยุ่นสามารถทำ PRP หน้าใส เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และผลัดเซลล์ผิวใหม่ เพื่อทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น
คนที่มีใบหน้าหมองคล้ำ
ลืมความหมองคล้ำบนใบหน้าไปเลย เพราะ PRP หน้าใสจะช่วยฟื้นบำรุงผิวหน้า ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพทำให้ใบหน้าที่หมองคล้ำดูกระจ่างใสมากขึ้น
คนที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ
ปัญหาใต้ตาคล้ำเหมือนคนนอนไม่พอ สามารถใช้ PRP หน้าใสในการแก้ไขได้ โดย PRP หน้าใสจะช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำรอบดวงตา หรือถุงใต้ตาคล้ำ โดยจะช่วยให้ผิวบริเวณดังกล่าวได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึกจากระดับเซลล์ และเพิ่มความกระจ่างใสให้มีมากขึ้น
คนที่กังวลเรื่องรอยดำ รอยแดงจากสิว และหลุมสิว
รักษาสิว ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยดำจากสิว พร้อมช่วยให้ขนาดรูขุมขนเล็กลง ด้วย PRP หน้าใสที่ช่วยทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่และลบเลือนรอยดำ รอยแดง และหลุมสิวอย่างเห็นผล
คนที่กังวลเรื่องรอยแผลเป็น
PRP หน้าใส จะช่วยกระตุ้นเซลล์ให้เกิดการซ่อมแซม กระตุ้นการหายของแผล และลดการอักเสบทำให้รอยแผลเป็นที่มีดูจางลง
คนที่มีปัญหาผมบาง ผมร่วง
นอกจากเรื่องผิวแล้ว PRP ยังเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์รากผม ทำให้ผมที่งอกออกมาใหม่มีเส้นผมที่หนาและแข็งแรงมากขึ้น จึงช่วยลดปัญหาผมบางและผมร่วงได้เป็นอย่างดี
PRP หน้าใสช่วยในเรื่องหน้าใสได้อย่างไร
PRP หน้าใสช่วยในเรื่องหน้าใสได้จากการที่ในเลือดที่นำมาใช้ในการทำ PRP จะมีสิ่งที่เรียกว่า เกล็ดเลือด (Platelet) ซึ่งได้มาจากการนำเลือดของคนไข้มาปั่นเพื่อแยกชั้นของพลาสมา เพื่อคัดเอาเฉพาะเกล็ดเลือดเข้มข้น และ Growth factor ที่เข้มข้น ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการเจริญเติบโต ช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการฟื้นฟู ซ่อมแซม และสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ ผิวหน้าจึงกระจ่างใสขึ้น รอยหลุมต่างๆ ถูกเติมเต็มจนตื้นขึ้น และยังช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น รวมถึงดูอ่อนเยาว์มากขึ้นด้วย
PRP หน้าใส เปรียบเทียบกับวิธีทำให้หน้าใสแบบอื่นๆ
การทำ PRP หน้าใสจะแตกต่างกับการทำเลเซอร์ หรือการฉีดสารอื่นๆ เช่น วิตามิน เมโส รีจูรัน ฯลฯ ตรงที่การทำ PRP หน้าใส เป็นการฟื้นฟูผิวแบบล้ำลึก และปลอดภัยสูง เนื่องจากสิ่งที่ใช้ในการนำมารักษาคือเลือดของคนไข้เองทำให้ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ ตามมา รวมถึงการทำ PRP หน้าใสยังช่วยฟื้นฟูผิวโดยรวมของทั้งใบหน้า ในขณะที่การฉีดสารอื่นๆ อาจจะเป็นการฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดมากกว่าการเน้นการบำรุงผิวที่ช่วยให้ดูกระจ่างใสได้ทั้งใบหน้า นอกจากนี้ PRP ยังนำมาใช้กับการแก้ปัญหาเรื่องผมบางและร่วงได้อีกด้วย
ข้อดี–ข้อจำกัดของการทำ PRP หน้าใส
ข้อดีของการทำ PRP หน้าใส
การทำ PRP นวัตกรรมที่แก้ปัญหาผิวหน้าและเส้นผมได้หลายรูปแบบ เช่น
- ช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียน ดูสว่าง และกระจ่างใสขึ้น
- ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และกระตุ้นการเกิดคอลลาเจน
- ช่วยลดการอักเสบของผิว
- ช่วยทำให้รูขุมขนกระชับแน่นขึ้น ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- ช่วยผิวชุ่มชื้นขึ้น ดูอิ่ม และแต่งหน้าได้ติดมากขึ้น
- ช่วยแก้ไขปัญหาผมร่วงและผมบาง เพราะ PRP จะช่วยเร่งการผลิตเซลล์ผมใหม่ให้เกิดขึ้นมานั่นเอง
ข้อจำกัดของการทำ PRP หน้าใส
ข้อจำกัดของการทำ PRP หน้าใส คือ การที่คนไข้ในบางกลุ่มอาจจะเข้ารับการรักษาวิธีนี้ไม่ได้ เช่น ผู้ที่ตั้งครรภ์, ผู้ที่ป่วยเพิ่งหาย, ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือด หรืออยู่ผู้ที่อยู่ในระหว่างการใช้ยาต้านภาวะแข็งตัวของเลือด ยาสลายลิ่มเลือด เป็นต้น รวมถึงอาจมีอาการบวมช้ำในบริเวณที่ฉีดอยู่บ้าง แต่เป็นอาการหลังทำที่พบได้ปกติ และจะหายไปในระยะเวลาไม่นาน แต่ถ้าเกิดอาการผิดปกติมากๆ ก็ควรเข้าไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยในทันที
ก่อนทำ PRP หน้าใส ควรเตรียมตัวอย่างไร
เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ จึงควรเตรียมตัวและดูแลตัวเองก่อนทำ PRP หน้าใส ดังนี้
- ดื่มน้ำสะอาด ประมาณ 2 ลิตร อย่างน้อย 2-3 วันก่อนทำ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 2-3 วัน
- งดชา เครื่องดื่มชูกำลัง และกาแฟ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ
- งดรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และงดของทอดของมันก่อนมาทำอย่างน้อย 1 วัน
- งดรับประทานยาต้านการอักเสบและการแข็งตัวของเลือดในกลุ่ม ASA หรือยาในกลุ่ม NSAIDs ก่อนทำ 2-3 วัน
- งดแต่งหน้าในวันที่เข้ารับบริการ
- ควรแจ้งโรคประจำตัว และประวัติการแพ้ยาให้แพทย์ทราบด้วย
ขั้นตอนการทำ PRP หน้าใส
- เข้าพบกับแพทย์เพื่อรับคำปรึกษา โดยแพทย์จะทำการประเมินใบหน้า เพื่อดูถึงปัญหาและประเมินวิธีการรักษาที่เหมาะสม หลังจากนั้นจะทำความสะอาดใบหน้า และทายาชาลงบนใบหน้า แพทย์จะทำการเจาะเลือดจากข้อพับ ประมาณ 8-10 ซีซี แล้วนำไปใส่ BCT Tube (Blood Cell Therapy) หรือ Y Tube ซึ่งเป็นหลอดใส่เลือดพิเศษที่ช่วยในการรักษาคุณภาพของเกล็ดเลือดเอาไว้
- นำเลือดมาปั่นเพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นและมีความสมบูรณ์มากที่สุด
- แพทย์จะสกัดเอาเฉพาะเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) ที่อุดมไปด้วย growth factor ออกมา
- ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น PRP กลับเข้าไปสู่ส่วนต่างๆ ตามที่ต้องการรักษา
การดูแลหลังทำ PRP หน้าใส
หลังจากที่ทำ PRP หน้าใส ควรดูแลตนเองให้ดีเพื่อลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง และทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้
- 5-6 ชั่วโมงหลังทำ PRP ไม่ควรล้างหน้าหรือทำให้หน้าโดนน้ำ
- หลีกเลี่ยงอาหารเสริม เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี
- ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องโดนแดดหนัก 1 สัปดาห์
- งดแต่งหน้า 1 วัน
- งดการออกกำลังกายอย่างหนักหรือว่ายน้ำอย่างน้อย 1 วัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการขัดหน้า นวดหน้า อบไอน้ำ หรือซาวน่า
- หลีกเลี่ยงการใช้ยา aspirin หรือ nurofen ประมาณ 1-2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการทาครีมที่มีส่วนผสมของ AHA หรือสาร Whitening
ผลลัพธ์หลังการทำ PRP หน้าใส
สำหรับผลลัพธ์หลังจากการทำ PRP หน้าใสทันทีอาจเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก เพราะอาจมีอาการฟกช้ำเล็กน้อย หรือบวมช้ำขึ้นมาได้ แต่อาการเหล่านี้จะหายไปใน 2 สัปดาห์ ระหว่างนี้สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้ และหลังทำไปแล้ว 2 – 4 สัปดาห์จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น (แต่ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะเห็นผลดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทั้งอายุ ปัญหาที่เกิดขึ้น และการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังทำด้วย)
คำถามที่พบบ่อย
PRP หน้าใสอันตรายไหม
อย่างที่บอกไปแล้วว่า การทำ PRP หน้าใส คือ การทำหัตถการด้วยพลาสมาจากเลือดของคนไข้เอง จึงมีความปลอดภัยสูง จึงทำให้ไม่มีอันตรายและไม่เกิดอาการแพ้ตามมา และยังไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือแสบอีกด้วย
ทำ PRP หน้าใส กี่วันเห็นผล
ปกติแล้วจะเห็นผลใน 2-4 สัปดาห์จะสังเกตได้ว่าใบหน้าจะดูกระจ่างใสมากขึ้น และจะเห็นผลได้ชัดเจนภายในประมาณ 3 เดือน แต่แนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 3 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ผิวที่ดูกระจ่างใส
ทำ PRP หน้าใส ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม
สำหรับผลลัพธ์ของการทำ PRP หน้าใสจะสามารถอยู่ได้นานกว่า 1 ปี ขึ้นอยู่กับทั้งนี้ผลของการรักษาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและการดูแลตนเองหลังทำด้วย
เพิ่มรีวิว Tiktok PRP
สรุป
จะเห็นว่า การทำ PRP หน้าใส มีส่วนช่วยทำให้ใบหน้าดูกระจ่างใส กระชับ เต่งตึง อีกทั้งช่วยแก้ปัญหาผมร่วงผมบางได้ด้วย สำหรับใครที่สนใจอยากทำ PRP หน้าใสก็ควรเข้ารับคำปรึกษาจากหมอหรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการตัดสินใจในการทำ PRP เพื่อทำความเข้าใจถึงรายละเอียดของการรักษาที่เหมาะสมกับตัวคุณเองได้มากที่สุด สามารถนัดคิวเข้ามาปรึกษา We clinic ได้ที่ช่องทาง Call : 090 320 0666 , 090 321 0666 Line@ : @Weclinic Facebook : WE clinic by หมอแซม หมอดา เสริมจมูก คาง ปากกระจับ
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ We Clinic ยินดีให้คำปรึกษาฟรี
โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง facebook หรือ Line ได้ที่นี่เลยครับ