ไม่ว่าคุณจะอยากดูแลผิวให้สวยใสทั่วเรือนร่าง หรือฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ลึกถึงระดับโครงสร้างผิว “คอลลาเจน” คือตัวช่วยที่คุณไม่ควรมองข้าม! เพราะคอลลาเจนไม่ได้มีแค่แบบเดียว และไม่ใช่ทุกแบบจะเหมาะกับทุกคน บทความนี้เรารวบตึงทุกเรื่องที่คุณควรรู้ ตั้งแต่คอลลาเจนคืออะไร ทำงานยังไง ไปจนถึงวิธีเลือกใช้ให้ได้ผลจริง
คอลลาเจน คืออะไร
คอลลาเจน (Collagen) คือโปรตีนโครงสร้างหลักที่พบมากที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่เสริมความแข็งแรงให้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อ เปรียบเสมือน “กาวธรรมชาติ” ที่ช่วยยึดเนื้อเยื่อต่าง ๆ เข้าด้วยกัน คอลลาเจนยังมีหน้าที่สำคัญในการคงความเรียบเนียน เต่งตึง และความอ่อนเยาว์ของผิว แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นการสังเคราะห์และผลิตคอลลาเจนในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลง ส่งผลให้ผิวแห้ง หย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยได้ง่าย ดังนั้นหลายคนจึงเริ่มมองหาวิธีในการเสริมคอลลาเจนให้ผิวกลับมาดูสุขภาพดีอีกครั้ง
คอลลาเจนมีคุณสมบัติอะไร
คอลลาเจน (Collagen) มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนเส้นใยที่มีโครงสร้างพิเศษเป็นเกลียวหนาแน่น มีโมเลกุลจำนวนมากพันกันแน่นหนา ทำให้คอลลาเจนมีความยืดหยุ่นสูง แข็งแรง และทนทานเป็นพิเศษ เส้นใยของคอลลาเจนมีแรงดีดตัวคล้ายสปริง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูให้ผิวดูเนียนเด้ง กระชับ และชุ่มชื้นอยู่เสมอ
คุณสมบัติเหล่านี้เองที่ทำให้คอลลาเจนกลายเป็นพระเอกของวงการผิวพรรณ เพราะนอกจากช่วยชะลอความร่วงโรยของผิว ยังช่วยให้ผิวแลดูเปล่งปลั่งจากภายใน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวให้แข็งแรง และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
คอลลาเจนจะเริ่มลดลงเมื่อไร?
ตามธรรมชาติแล้วร่างกายของเราสามารถผลิตคอลลาเจนได้เองตั้งแต่วัยเด็ก แต่เมื่ออายุเข้าสู่ช่วง 25 ปีขึ้นไป การผลิตคอลลาเจนจะเริ่มลดลงเฉลี่ยประมาณ 1.5% ต่อปี และเมื่อถึงวัย 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสามารถสร้างคอลลาเจนได้เพียง 20–30% ของช่วงวัยที่ดีที่สุดเท่านั้น
เมื่อคอลลาเจนลดลง ผิวที่เคยเต่งตึง ยืดหยุ่น และชุ่มชื้น จะเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในรูปแบบของริ้วรอย ร่องลึก ความหย่อนคล้อย และความแห้งกร้านของผิว นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อความแข็งแรงของผิวหนัง กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่น ๆ ในร่างกายด้วย
ดังนั้นการดูแลผิวตั้งแต่วัย 25 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน การเสริมคอลลาเจนจากภายนอก หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนอย่างเหมาะสม จึงเป็นวิธีสำคัญในการคงความอ่อนเยาว์ไว้ให้นานที่สุด
คลอลาเจน มีกี่ประเภท
คลอลาเจน(Collagen) เป็นโปรตีนโครงสร้างหลักที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ โดยคิดเป็นประมาณ 30% ของโปรตีนทั้งหมด มีบทบาทสำคัญในการเสริมความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น แม้จะมีการค้นพบคอลลาเจนมากถึง 28 ชนิด แต่ชนิดที่พบมากที่สุดและมีบทบาทสำคัญในร่างกายมีอยู่ 5 ประเภทหลัก ได้แก่
- คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I): เป็นคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกาย คิดเป็นประมาณ 90% ของคอลลาเจนทั้งหมด พบในผิวหนัง กระดูก เอ็น และเส้นเอ็น ช่วยเสริมความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ
- คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Type II): พบมากในกระดูกอ่อน เช่น กระดูกอ่อนของหู จมูก และข้อต่อ ช่วยเสริมความยืดหยุ่นและลดแรงกระแทกในข้อต่อ
- คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Type III): พบร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 ในผิวหนัง กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด ช่วยเสริมความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ
- คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Type IV): พบในชั้นเยื่อบุผิว เช่น เบซัลลามินา (Basal Lamina) และชั้นเนื้อประสานที่รองรับเนื้อผิว (Basement Membrane) ช่วยในการกรองสารและเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ
- คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Type V): พบในผิวของเซลล์ ผม และรก ช่วยในการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ
7 สัญญาณที่บอกว่าคุณเริ่มขาดคอลลาเจน
เมื่ออายุมากขึ้น หรือดูแลตัวเองไม่ดีพอ ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายระบบของร่างกาย โดยเฉพาะผิวหนัง ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ ดังนี้:
- ผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอยชัดขึ้น
คอลลาเจนคือโครงสร้างหลักที่ช่วยพยุงผิว เมื่อขาดคอลลาเจน ผิวจะเริ่มบางลง ไม่แน่นกระชับ ส่งผลให้เกิดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบตา ปาก หน้าผาก และแก้มเร็วขึ้นกว่าปกติ - ใบหน้าโทรม แก้มตอบลง
เนื่องจากคอลลาเจนมีหน้าที่เติมเต็มและพยุงชั้นผิว เมื่อปริมาณลดลง ใบหน้าจะดูแฟบ ไม่อิ่มฟู โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาและแก้ม ทำให้ดูโทรม ไม่สดใสแม้นอนเต็มที่ - กล้ามเนื้ออ่อนแรง ฟื้นตัวช้า
คอลลาเจนมีบทบาทในการสร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อ เมื่อขาด อาจรู้สึกเมื่อยง่าย เหนื่อยไว หรือใช้เวลานานขึ้นกว่าจะฟื้นตัวหลังออกกำลังกาย - ข้อต่อฝืด เคลื่อนไหวไม่คล่อง
เพราะคอลลาเจนชนิดที่ 2 มีหน้าที่รองรับแรงกระแทกบริเวณข้อ หากขาดไป เอ็นและข้อต่อจะสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้รู้สึกฝืดตึงเวลาเดินหรือขยับ - ปวดข้อ หรือเริ่มมีภาวะข้อเสื่อม
ขาดคอลลาเจนจะทำให้กระดูกอ่อนบางลง เสี่ยงต่อโรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากหรือใช้ข้อหนักเป็นประจำ เช่น นักกีฬา - ระบบไหลเวียนเลือดแย่ลง
คอลลาเจนมีส่วนในการสร้างผนังหลอดเลือด หากผนังเหล่านี้เสื่อมสภาพลง เลือดจะไหลเวียนได้ไม่ดี ทำให้มือเท้าเย็น อ่อนเพลีย หรือความดันแปรปรวน - ระบบย่อยอาหารรวน ท้องอืดบ่อย
เพราะคอลลาเจนช่วยเสริมเยื่อบุลำไส้ เมื่อผิวของทางเดินอาหารบางลง อาจทำให้เกิดภาวะดูดซึมไม่ดี หรือเสี่ยงต่อการอักเสบในระบบลำไส้ได้ง่ายขึ้น
มัดรวม 3 วิธีสร้างคอลลาเจนเองง่ายๆด้วยตัวเอง
การเสริมสร้างคอลลาเจนสามารถทำได้ทั้งจากภายในและภายนอก ด้วย 3 วิธีหลัก ได้แก่ การรับประทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน การเสริมด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีคอลลาเจน และการดูแลผิวด้วยหัตถการที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวอย่างตรงจุด ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูผิวให้ดูเรียบเนียน กระชับ และอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
เสริมคอลลาเจนด้วยอาหารจากธรรมชาติ
การรับประทานอาหารที่เหมาะสมคือหนึ่งในวิธีที่ดีในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จากภายในสู่ภายนอก แม้การกินคอลลาเจนโดยตรงอาจไม่ได้ทำให้ร่างกายดูดซึมทั้งหมด แต่การเลือกอาหารที่มีสารอาหารจำเป็นต่อการสังเคราะห์คอลลาเจนจะช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ กระชับ และสุขภาพดีขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- อาหารที่อุดมด้วยโปรตีน
เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ขาว ปลา และถั่ว เป็นแหล่งของกรดอะมิโนจำเป็น โดยเฉพาะ โปรลีน และ ไกลซีน ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักในการสร้างคอลลาเจน
- แหล่งวิตามินซีธรรมชาติ
ผลไม้รสเปรี้ยว สตรอว์เบอร์รี่ กีวี เบอร์รี่ ผักใบเขียว และบรอกโคลี ล้วนอุดมด้วย วิตามินซี ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน และช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายเส้นใยคอลลาเจน
- ไขมันดีจากปลาทะเลและโอเมก้า 3
เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาทะเลน้ำลึก มีคุณสมบัติช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียคอลลาเจน และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิวพรรณ - แร่ธาตุสำคัญต่อคอลลาเจน
- ทองแดง พบในหอยนางรม ตับ เห็ดชิตาเกะ และผักใบเขียว ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคอลลาเจน
- สังกะสี พบในเนื้อแดง ถั่วเมล็ดแห้ง ผลิตภัณฑ์นม และธัญพืชเต็มเมล็ด มีส่วนในการซ่อมแซมผิวและกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
การเสริมคอลลาเจนด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
การทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะคอลลาเจนที่สกัดจากปลา หรือพืช ซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งที่ปลอดภัย หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและต่อเนื่องอย่างถูกต้อง
คอลลาเจนในรูปแบบเสริมมีหลากหลาย ทั้งแบบผงชงดื่มและแคปซูล ผู้บริโภคควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาและปริมาณการบริโภคที่แนะนำ แพทย์แนะนำให้รับประทานคอลลาเจนไม่เกินวันละ 10 กรัม หรือ 1,000 มิลลิกรัม และไม่ควรใช้อย่างต่อเนื่องเกิน 5 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงของการตกค้างในร่างกาย พร้อมควบคู่กับการดูแลสุขภาพโดยรวมเพื่อให้การเสริมคอลลาเจนเห็นผลได้ดีที่สุด
การดูแลผิวด้วยหัตถการกระตุ้นคอลลาเจน
สำหรับใครที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน เห็นผลลัพธ์ชัดเจนกว่าการทาครีมหรืออาหารเสริม การดูแลผิวด้วยหัตถการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด โดยเฉพาะการใช้สารในกลุ่ม Collagen Biostimulator ที่สามารถฉีดลงสู่ชั้นผิวหนังแท้ เพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกายอย่างล้ำลึก
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในวงการผิวหนังคือ เซรั่มที่มี Growth Factors เข้มข้น เช่น Calecim® Professional Serum ซึ่งอุดมไปด้วยสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนถึง 8 ชนิด โดยแต่ละชนิดมีหน้าที่เฉพาะในการฟื้นฟูผิว เช่น
- KGF (Keratinocyte Growth Factor) กระตุ้นการสร้างและเจริญเติบโตของเซลล์ผิวชั้นนอก
- PDGF (Platelet Derived Growth Factor) เสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ผิวคอลลาเจนและหลอดเลือด
- VEGF (Vascular Endothelial Growth Factor) ช่วยเสริมสร้างเส้นเลือดใหม่และช่วยในการสมานแผล
- EGF (Epidermal Growth Factor) กระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุผิว เสริมสร้างเส้นเลือดใหม่และช่วยสมานแผล
- FGF (Fibroblast Growth Factor)กระตุ้นเซลล์การสร้างคอลลาเจนซ่อมแซมเซลล์ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพ
- IGF (Insulin Like Growth Factor)ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ผิว
- TGF-B (Transforming Growth Factor Beta)กระตุ้นการสร้างเซลล์เยื่อบุผิวและเซลล์ผนังหลอดเลือด
- INTERLEUKIN-10 ช่วยลดกระบวนการอับเสบต่าง ๆให้ผิว Recover กลับมามีสุขภาพดี
วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดความกระชับ หรือมีริ้วรอยก่อนวัยให้กลับมาผิวฉ่ำวาว กระจ่างใสโดยเฉพาะในช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป ที่คอลลาเจนในร่างกายเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง การกระตุ้นโดยตรงในระดับเซลล์ผิวจึงให้เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนที่สุด
ที่ WE CLINIC เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นำโดย คุณหมอปิงปิง ที่ให้บริการหัตถการเสริมคอลลาเจนแบบเฉพาะบุคคล ด้วยเทคนิคที่ปลอดภัย มือเบา และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจากสถาบันระดับสากล เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด
รวม 7 ประโยชน์ของคอลลาเจน
- ลดริ้วรอย คอลลาเจนช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอย ทำให้ผิวหน้าแน่น เรียบเนียน และดูเด็กขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- เติมความชุ่มชื้นช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำได้ดี ลดอาการผิวแห้ง ผิวจะดูฉ่ำ อิ่มฟู และมีสุขภาพดีจากภายใน
- ผลัดเซลล์ผิวให้กระจ่างใส คอลลาเจนช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกอย่างเป็นธรรมชาติ เผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนและขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ
- บำรุงข้อต่อและกระดูก คอลลาเจนช่วยรองรับน้ำหนักตามข้อต่อต่าง ๆ และลดการเสื่อมของกระดูกอ่อน จึงช่วยให้เคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้น
- บำรุงเล็บและเส้นผมให้แข็งแรง ช่วยเสริมความแข็งแรงให้เล็บไม่เปราะง่าย และช่วยให้ผมเงางาม ลดการขาดหลุดร่วง
- กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูเนื้อเยื่อ คอลลาเจนมีบทบาทในการซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ และสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพ
- ช่วยให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น คอลลาเจนมีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างลิ่มเลือด ช่วยให้แผลเล็ก ๆ หายไว ลดการเสียเลือด
5 พฤติกรรมทำลายคอลลาเจน
แม้คอลลาเจนจะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า “พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน” ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เร่งให้ระดับคอลลาเจนในร่างกายลดลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะพฤติกรรมเหล่านี้:
- การสูบบุหรี่
สารเคมีในบุหรี่จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอนไซม์ที่เข้าไปทำลายคอลลาเจนโดยตรง อีกทั้งยังลดประสิทธิภาพในการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวเหี่ยวย่นเร็วขึ้น - การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
แอลกอฮอล์ทำให้ผิวขาดน้ำ และส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวหย่อนคล้อยและขาดความยืดหยุ่น - การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป
เมื่อรับประทานน้ำตาลในปริมาณมาก น้ำตาลจะเข้าไปจับกับโปรตีนในร่างกาย เกิดกระบวนการ Glycation ซึ่งทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น - การสัมผัสแสงแดดโดยไม่ป้องกัน
รังสี UV สามารถทำลายคอลลาเจนในผิวหนังแท้ได้โดยตรง หากปล่อยให้ผิวสัมผัสแดดนาน ๆ โดยไม่ทาครีมกันแดด ก็จะเร่งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ - ความเครียดสะสม
เมื่อร่างกายเครียดจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งมีผลข้างเคียงคือเร่งการทำลายคอลลาเจนในผิว ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ แห้ง และขาดความยืดหยุ่น
สรุป
คอลลาเจนคือโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง เรียบเนียน และยืดหยุ่น แต่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนน้อยลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และดูแก่กว่าวัย ปัจจุบันจึงมีการเสริมคอลลาเจนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งแบบทา กิน และฉีดกระตุ้นคลอลาเจน เพื่อช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวให้กลับมาเปล่งปลั่ง กระชับ และอ่อนเยาว์อีกครั้ง
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ We Clinic ยินดีให้คำปรึกษาฟรี
โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง facebook หรือ Line ได้ที่นี่เลยครับ