สิวที่คางเกิดจากอะไร? ทำไมเป็นซ้ำ ๆ พร้อมวิธีรักษาให้ตรงจุด

สิวที่คาง…ตัวป่วนประจำใบหน้าที่ไม่เคยพลาดโอกาสมาทักทายตอนเราส่องกระจก  ไม่ว่าเราจะประคบประหงมผิวมาดีแค่ไหน ก็มักมีเจ้าสิวเม็ดเล็ก ๆ โผล่มาทักทายอยู่เสมอ

จนทำให้สูญเสียความมั่นใจไปตามๆกัน จริง ๆแล้วสิวขึ้นที่คางเกิดจากหลายปัจจัยที่ซ่อนอยู่ ทั้งเรื่องของฮอร์โมน ความเครียด พฤติกรรมการกิน ไปจนถึงการดูแลผิวที่เราอาจเผลอทำผิดวิธีไป

บทความนี้คุณหมอปิงปิง แพทย์ผู้ให้บริการด้านผิวพรรณและความงาม WE Clinic จะพามาเจาะลึกสาเหตุของสิวที่คาง พร้อมแนะนำวิธีรับมือและป้องกันไม่ให้สิวที่คางกลับมาเกิดซ้ำในอนาคตกันค่ะ   

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน

สิวที่คาง คืออะไร

สิวที่คาง คืออะไร

สิวที่คาง (Chin Acne) คือ ปัญหาผิวที่เกิดขึ้นบริเวณคาง และบางครั้งอาจลามไปถึงช่วงกรอบหน้า จัดอยู่ในกลุ่มโรคผิวหนังที่เรียกว่า โรคสิว (Acne Vulgaris) 

มักเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของรูขุมขนและต่อมไขมัน เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป ประกอบกับการอุดตันของรูขุมขน 

และบางครั้งมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ก็จะทำให้เกิดสิวได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ   

สิวขึ้นที่คางเกิดจากอะไร?

สิวขึ้นที่คางสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่พบได้บ่อยคือ ฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจน (Androgens) 

ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่ผลิตจากต่อมไร้ท่อในร่างกายทั้งผู้ชายและผู้หญิง เมื่อร่างกายสร้างฮอร์โมนชนิดนี้มากกว่าปกติ 

ร่างกายจึงกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันหรือซีบัม (Sebum) มากขึ้น ส่งผลให้รูขุมขนอุดตัน และนำไปสู่การเกิดสิวที่คางได้

คุณหมอปิงปิง WE Clinic อธิบายว่าในผู้หญิงช่วงที่ฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงขึ้นมักเกิดในระยะก่อนมีประจำเดือนประมาณ 1 สัปดาห์ 

นับเป็นสาเหตุให้หลายคนมีสิวผุดขึ้นบริเวณคางและแนวทีโซน (T-zone) ในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้สิวลักษณะนี้ยังพบได้ในวัยรุ่น 

ช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือในช่วงที่มีความเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ จนผิวมันและผลัดเซลล์มากกว่าปกติค่ะ

สาเหตุการเกิดสิวที่คาง

อีกสาเหตุสำคัญคือการทำงานของเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ซึ่งอาศัยอยู่บนผิวตามปกติ แต่เมื่อรูขุมขนอุดตันและมีซีบัมสะสมมาก 

เชื้อชนิดนี้จะเพิ่มจำนวนและย่อยไขมันด้วยเอนไซม์ lipase และ hyaluronate lyase ทำให้เกิดกรดไขมันอิสระและการอักเสบของผิว 

จนพัฒนากลายเป็นสิวอุดตัน (Comedones) หรือสิวอักเสบนอกจากปัจจัยด้านฮอร์โมนและแบคทีเรียแล้ว ยังมีปัจจัยกระตุ้นอื่นที่ทำให้สิวที่คางเกิดซ้ำหรือเป็นมากขึ้น เช่น

การใส่หน้ากากอนามัยต่อเนื่อง 

แม้การสวมแมสก์จะช่วยป้องกันฝุ่นละอองและเชื้อโรค แต่การเสียดสีระหว่างเนื้อผ้ากับผิวบริเวณคาง รวมถึงความอับชื้นจากเหงื่อและลมหายใจภายในหน้ากาก

 สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและอุดตันของรูขุมขนได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิวบริเวณนี้กำเริบซ้ำ 

การสะสมของสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรีย 

การสัมผัสผิวบริเวณคางบ่อย ๆ หรืออย่างใช้โทรศัพท์แนบใบหน้า อาจทำให้สิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียสะสม 

เมื่อผสมกับน้ำมันที่ต่อมไขมันผลิตออกมา จะเกิดการอุดตันของรูขุมขนและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบค่ะ

สกินแคร์–เครื่องสำอางที่ก่อการอุดตันผิว  

สกินแคร์หรือเครื่องสำอางบางชนิดที่มีส่วนผสมของซิลิโคนหรือสารให้ความเรียบเนียน อาจปิดกั้นการระบายของรูขุมขน 

หากทำความสะอาดไม่เพียงพอ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสิวที่คางได้อย่างมีนัยสำคัญ  

ประเภทของสิวที่คาง

สิวที่คางไม่ได้มีเพียงแบบเดียว แต่ละชนิดก็มีสาเหตุและวิธีดูแลต่างกันออกไป มาดูกันว่าคุณกำลังเจอกับสิวแบบไหน และควรรับมืออย่างไร 

สิวอักเสบที่คาง  

สิวอักเสบเป็นสิวที่คางชนิดหนึ่งที่มักเกิดหลังจากรูขุมขนมีการอุดตัน แล้วถูกกระตุ้นด้วยสิ่งสกปรกหรือเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes 

สิวชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง อาจบวมและมีหนอง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บหรือปวดชัดเจน 

หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอย่างเหมาะสม สิวอักเสบอาจทิ้งรอยดำหรือรอยแผลเป็นไว้ได้

สิวอุดตันที่คาง

สิวอุดตันที่คาง

อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หลายคนกังวลคือ สิวขึ้นที่คางเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน เมื่อไขมันส่วนเกินผสมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ก่อให้เกิดเป็นตุ่มแข็ง ๆ เล็ก ๆ ใต้ผิว ลูบแล้วผิวจะไม่เรียบ 

สิวอุดตันมีทั้งแบบหัวเปิด (blackheads) และหัวปิด (whiteheads) หากปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแล สิวอุดตันเหล่านี้อาจพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบในอนาคตได้

สิวไม่มีหัวที่คาง

สิวประเภทนี้จัดเป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่ง โดยจะเห็นเป็นตุ่มแดงนูน แต่ไม่มีหัวสิวโผล่ให้เห็นชัด เกิดได้จากหลายปัจจัย 

เช่น ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ 

การสะสมของสิ่งสกปรกบนใบหน้า หรือแม้แต่ผลข้างเคียงจากยาคุมกำเนิด สิวไม่มีหัวที่คางไม่ควรบีบหรือกด เพราะจะทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น และอาจทิ้งรอยแผลไว้ได้

7 วิธีเลี่ยงการเป็นสิวที่คาง

วิธีเลี่ยงการเป็นสิวที่คาง
  • ใช้คลีนเซอร์อ่อนโยน ล้างหน้าให้สะอาดเช้า–เย็น
  • เลือกสกินแคร์ที่ไม่อุดตัน และช่วยให้ผิวแข็งแรง
  • แต่งหน้าได้แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่ก่อสิว พร้อมทากันแดดทุกวัน
  • ดื่มน้ำให้พอ นอนพักผ่อนให้ครบ 7–8 ชั่วโมง
  • กินอาหารมีประโยชน์ ลดของทอด ของมัน ของหวาน และนมวัว
  • งดบุหรี่ ลดแอลกอฮอล์ เพราะกระตุ้นการอักเสบของผิว
  • เปลี่ยนแมสก์ทุกวัน หลีกเลี่ยงการใช้ซ้ำ ลดการสะสมเชื้อโรคและความอับชื้น

เพราะกินแบบนี้สิวที่คางไม่หายสักที!

ใครที่กำลังต่อสู้กับสิวที่คางแล้วไม่ดีขึ้นสักที ลองสังเกตดูว่าอาหารที่คุณกินในแต่ละวัน อาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้สิวกำเริบโดยไม่รู้ตัว 

เพราะมีอาหารหลายชนิดที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานหนักขึ้น หรือทำให้ระดับฮอร์โมนเสียสมดุล ส่งผลให้สิวที่คางอักเสบและไม่ยอมหายง่าย ๆ

หนึ่งในตัวการหลักคือผลิตภัณฑ์จากนม ไม่ว่าจะเป็นนมสด โยเกิร์ต หรือชีส ซึ่งมีงานวิจัยบางส่วนพบว่ามีผลต่อการกระตุ้นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดสิว 

นอกจากนี้ อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง อย่างโดนัท คุกกี้ ชานมไข่มุก หรือแม้แต่น้ำอัดลม ก็ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายหลั่งอินซูลินมากขึ้นและเร่งกระบวนการอักเสบในผิว

ของทอดหรืออาหารฟาสต์ฟู้ดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุใหญ่ เพราะเต็มไปด้วยน้ำมันและไขมันไม่ดีที่ไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันมากเกินไป 

จนรูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น และสุดท้ายคืออาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม หรือเบคอน ที่มีทั้งเกลือ สารกันเสีย และไขมันแฝง ล้วนทำให้สิวที่คางกลับมาเห่อซ้ำได้ง่ายนั่นเองค่ะ

ทำไมเสริมคางแล้วสิวขึ้นที่คาง?

การเสริมคางไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดสิว สิวที่เกิดขึ้นหลังการทำหัตถการมักสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นมากกว่า อาทิ

  1. การอุดตันของต่อมไขมันร่วมกับเชื้อแบคทีเรีย เมื่อผิวผลิตน้ำมันมากเกินไป และมีเชื้อแบคทีเรียสะสมในรูขุมขน จึงเกิดการอักเสบและสิวขึ้นได้
  2. การใส่ผ้ารัดหรือผ้าดามคาง หลังการผ่าตัดจำเป็นต้องใช้ผ้ารัดเพื่อประคองตำแหน่งซิลิโคน หากดูแลความสะอาดไม่ทั่วถึง หรือมีความอับชื้นสะสม อาจกระตุ้นให้สิวอักเสบขึ้นบริเวณคางได้

ดังนั้นหากพบว่าสิวขึ้นหลังเสริมคาง มักไม่ได้เกี่ยวกับซิลิโคนหรือการผ่าตัดเสริมคางโดยตรง แต่เกิดจากการดูแลความสะอาดผิวและอุปกรณ์ที่ใช้หลังผ่าตัดมากกว่าค่ะ

วิธีที่ดีที่สุดคือทำตามคำแนะนำของแพทย์ หมั่นเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน และหลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว เพื่อลดการอักเสบและช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น 

รวม 7 ดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีหลังเสริมคาง

  1. ช่วงระยะเวลา 1-2 วันแรก หลังเสริมคางบริเวณแผลอาจมีเลือดไหลซึมใต้ผ้าดามอยู่บ้าง เป็นอาการปกติ อาจมีอาการเขียวบวม ให้ประคบเย็นเยอะๆ จะช่วยให้เลือดหยุดไหลไวขึ้น
  2. วันที่ 0-3 แรกหลังเสริมคางให้ประคบเย็น โดยการนำเจลไปแช่ช่องเย็นจากนั้นนำมาประคบบริเวณแก้มซ้าย-ขวา หลีกเลี่ยงการประคบบนซิลิโคนโดยตรง ประมาณ 5-10 วินาทีแล้วเอาออก ไม่แนะนำให้ประคบไว้นาน
  3. วันที่ 4 ให้เริ่มประคบอุ่นจนกว่าจะตัดไหม โดยการประคบอุ่น คือการนำเจลไปแช่ในน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน ห้ามนำไปเข้าไมโครเวฟหรือนำไปต้มเด็ดขาด เมื่อเริ่มอุ่นแล้วจากนั้นนำเจลประคบบริเวณสองข้างแก้มคล้ายกับการประคบเย็น
  4. หลังเสริมคางแนะนำให้นอนหมอนสูงเป็นเวลา 2 อาทิตย์ หรือให้นั่งหลับ ใช้หมอนรองคอประคองไว้ ห้ามนอนหมอนราบ และห้ามนอนตะแคง
  5. หลังเสริมคางบริเวณแผลห้ามโดนน้ำเด็ดขาดจนกว่าจะตัดไหม เวลาอาบน้ำ ล้างหน้า หรือแปรงฟัน ต้องระวังอย่าให้แผลโดนน้ำและรักษาความสะอาดให้มากที่สุด
  6. หากผ้าดามแผลคางโดนน้ำ ให้แกะผ้าดามออกทันทีแล้วเริ่มทำความสะอาดแผล

อ่านวิธีการดูแลตัวเองเพิ่มเติมหลังเสริมคางได้ที่ : 23 การดูแลตนเองหลังเสริมคาง ให้ปลอดภัย คางสวยเป๊ะ ที่สุด !

มัดรวม 9 วิธีรักษาสิวที่คางด้วยตัวเองง่ายๆ

หากสิวที่คางไม่ได้มีจำนวนมากหรืออาการไม่รุนแรงนัก การดูแลและรักษาด้วยตัวเองก็สามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้ โดย วิธีรักษาสิวที่คางด้วยตัวเอง ที่แนะนำ มีดังนี้ค่ะ

  1. ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายที่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอและการนอนหลับที่มีคุณภาพ จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวและลดการอักเสบได้ดีกว่า
  2. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี ควรล้างหน้าด้วยขั้นตอน Double Cleansing โดยเฉพาะหากมีการแต่งหน้าหรือใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
  3. เลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับผิว ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิว หลีกเลี่ยงการใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมก่อให้เกิดการอุดตัน
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าโดยไม่จำเป็น มือเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค หากจำเป็นต้องสัมผัสผิวหน้า ควรล้างมือให้ สะอาดก่อนทุกครั้ง
  5. ไม่แกะหรือบีบสิว การแกะหรือบีบสิวอาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่รูขุมขนและเพิ่มการอักเสบ รวมถึงเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผล เป็น
  6. ใช้ยาหรือแผ่นแปะสิวเมื่อจำเป็น หากเป็นสิวอักเสบ ควรใช้ยาทาแต้มสิวที่มีส่วนผสมช่วยลดการอักเสบ หรือใช้แผ่นแปะสิวเพื่อลดการระคายเคือง
  7. เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อผิว ควรเน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช และนมจากพืช ลดการบริโภคอาหารมันจัด หวานจัด หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
  8. ใส่ใจความสะอาดของสิ่งของใกล้ตัว ผ้าขนหนู ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน หรือแม้แต่ผ้าเช็ดหน้า ควรซักและเปลี่ยนบ่อย ๆ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
  9. ดูแลความสะอาดของเส้นผม โดยเฉพาะผู้ที่มีผมยาว ควรสระผมอย่างสม่ำเสมอ เพราะเส้นผมที่สกปรกอาจสัมผัสกับคางและกระตุ้นให้สิวขึ้นเพิ่มได้

สิวที่คางแบบไหนควรพบแพทย์

โดยทั่วไปสิวที่คางสามารถดูแลเองได้ แต่หากสิวเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นหรือมีอาการผิดปกติ ก็ควรพิจารณาเข้าพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม 

ตัวอย่างเช่น หากสิวที่คางเกิดซ้ำ ๆ ในตำแหน่งเดิม ไม่ว่าจะรักษายังไงก็ไม่หายขาด หรือสิวเริ่มมีจำนวนมากขึ้น มีทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวไม่มีหัว 

หรือสิวหัวช้างที่บวมแดงจนเจ็บ การปล่อยทิ้งไว้ไม่เพียงแต่จะทำให้สิวลุกลาม แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำ รอยแดง และหลุมสิวที่รักษายากกว่าเดิม

อีกกรณีที่ควรพบแพทย์คือเมื่อพยายามรักษาด้วยตนเองแล้วไม่เห็นผล เช่น ใช้ยาทาสิวหรือปรับพฤติกรรมการดูแลผิวแล้วอาการกลับไม่ดีขึ้น 

การปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้ทราบต้นตอที่แท้จริง ไม่ว่าจะเกี่ยวกับฮอร์โมน การอุดตันในรูขุมขน หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ และแพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุดมากกว่าค่ะ

ดังนั้นหากสิวที่คางมีลักษณะรุนแรงขึ้น ซ้ำซาก หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยตนเอง การเข้าพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยสิวในอนาคตได้นะคะ

วิธีรักษาสิวที่คางด้วยการพบแพทย์

แม้หลายคนจะพยายามรักษาสิวที่คางด้วยตัวเอง เช่น การเปลี่ยนสกินแคร์หรือการดูแลความสะอาด แต่หากสิวยังกลับมาเป็นซ้ำ ๆ หรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น 

การเข้าพบแพทย์ผิวหนังคือทางเลือกที่ช่วยให้การรักษาตรงจุด โดยปัจจุบันวิธีรักษาสิวที่คางด้วยการพบแพทย์มีหลากหลายแนวทาง ดังนี้ค่ะ

1. การรักษาด้วยการรับประทานยา 

เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรงหรือสิวขึ้นเป็นจำนวนมาก ยาที่แพทย์มักใช้ ได้แก่

  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)  ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและอาการอักเสบ
  • ยากลุ่มกรดวิตามินเอ (Isotretinoin) ลดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผิวมันน้อยลงและลดการอุดตัน
  • ยาคุมกำเนิด (ในผู้หญิง)  ใช้เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนที่อาจเป็นสาเหตุของสิว แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เสมอ

2. การรักษาด้วยยาทา

เป็นวิธีเบื้องต้นที่ใช้ได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ ตัวอย่างยาทาที่แพทย์มักสั่ง ได้แก่

  • กลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids)  ลดการอุดตันและช่วยผลัดเซลล์ผิว
  • Benzoyl Peroxide มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบของสิว

3. การกดสิวโดยแพทย์

สำหรับสิวอุดตัน การกดสิวเป็นวิธีที่ช่วยนำหัวสิวออกได้อย่างปลอดภัย โดยแพทย์จะใช้เข็มเปิดหัวสิวและอุปกรณ์เฉพาะกดออกอย่างเบามือ เพื่อลดความเสี่ยงของการอักเสบหรือรอยแผลเป็น

4. การฉีดสิว

สิวอักเสบที่บวมแดงสามารถฉีดคอร์ติโซน (เช่น Triamcinolone) เพื่อลดการอักเสบได้ วิธีนี้ช่วยให้สิวยุบตัวเร็ว ลดความเจ็บปวด และลดโอกาสเกิดหลุมสิวตามมา

5. การทำทรีทเมนท์บำรุงผิว

ผิวที่เป็นสิวมักอ่อนแอและแห้งจากการใช้ยารักษา การทำทรีทเมนท์จึงช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น

6. การฉีดผิว 

การฉีดผิวด้วยตัวยาที่มีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูโรนิก วิตามิน หรือคอลลาเจน จะช่วยฟื้นฟูผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ตัวอย่างที่นิยม เช่น ฉีดเมโสหน้าใส

อ่านบทความฉีดเมโสหน้าใสเพิ่มเติมได้ที่: สะกิดเมโสหน้าใส คืออะไร ดีไหม ช่วยอะไรได้บ้าง อยู่ได้นานไหม

7. การเลเซอร์รักษาสิว

เลเซอร์บางชนิดช่วยทั้งฟื้นฟูผิวและลดการเกิดสิวได้ โดยออกฤทธิ์ลดการอุดตันของต่อมไขมัน พร้อมฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว ทำให้สิวอุดตันและสิวอักเสบลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่คาง

สิวที่คางบีบได้ไหม ?

บีบสิวที่คางได้ไหม

หลายคนอาจเคยเผลอบีบสิวที่คางไป เพราะรู้สึกว่าถ้าเอาหัวสิวออกก็น่าจะหายเร็วขึ้น แต่ในความเป็นจริงการบีบสิวที่คางไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยและถูกต้องเลยค่ะ

การบีบอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองมากขึ้น สิวมีอาการบวมแดงและอักเสบหนักกว่าเดิม นอกจากนี้แรงกดจากการบีบยังสามารถทำลายเนื้อเยื่อผิว

ส่งผลให้เกิดรอยดำ รอยแดง หรือแม้แต่หลุมสิวถาวรที่รักษายากกว่าเดิม      

อีกปัญหาที่มักเกิดขึ้นคือ การแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรีย มือของเรามักมีสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคปะปนอยู่ เมื่อสัมผัสสิวโดยตรง เชื้อเหล่านี้สามารถเข้าสู่ผิวและทำให้สิวลุกลามไปยังบริเวณอื่นได้ 

และหากกดสิวออกมาไม่หมด สิ่งที่เหลืออยู่ในรูขุมขนก็อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการอุดตันใหม่ ทำให้สิวกลับมาเป็นซ้ำได้นะคะ

ดังนั้นไม่แนะนำให้บีบสิวที่คางด้วยตัวเอง โดยเฉพาะสิวอักเสบหัวหนองหรือสิวไม่มีหัว หากต้องการกดสิว ควรทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการอักเสบและทิ้งรอยแผลเป็นกวนใจ 

สิวที่คางทำไมถึงขึ้นซ้ำ ๆ ?

สาเหตุหลักที่ทำให้สิวที่คางขึ้นซ้ำ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ ฮอร์โมนที่ทำงานผิดปกติ เมื่อฮอร์โมนกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป 

ผิวบริเวณคางที่มีต่อมไขมันหนาแน่นอยู่แล้วจึงยิ่งอุดตันง่าย โดยเฉพาะในผู้หญิงช่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือน มักพบว่าสิวที่คางกำเริบได้ชัดเจนกว่าช่วงอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม สิวที่คางซ้ำ ๆ ไม่ได้เกิดจากฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่กระตุ้น เช่น การจับหรือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ, ความเครียด, 

การพักผ่อนไม่เพียงพอ, รวมถึงการรับประทานของทอด ของหวาน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้สิวเกิดขึ้นซ้ำได้ง่ายค่ะ

สิวที่คางซ้ำ ๆ บ่งบอกโรคอะไรได้บ้าง ?

ในบางกรณี สิวที่คางซ้ำ ๆ อาจเป็น สัญญาณบ่งบอกปัญหาสุขภาพภายใน ได้เช่นกัน โดยเฉพาะความผิดปกติของฮอร์โมน 

หากสิวเห่อมากผิดปกติในช่วงรอบเดือน อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจนที่สูงเกินไป ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาใช้ยาปรับฮอร์โมนเข้ามาช่วยควบคุม

นอกจากนี้ ในผู้หญิงบางรายที่มีสิวร่วมกับอาการปวดท้องประจำเดือนรุนแรงหรือรอบเดือนมาไม่ปกติและบางคนอาจมีขนขึ้นเยอะตามลำตัว

ก็อาจมีความเสี่ยงเป็นภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome – PCOS) ซึ่งควรเข้ารับการตรวจและรักษากับแพทย์เฉพาะทางอย่างเหมาะสม

 

สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ We Clinic ยินดีให้คำปรึกษาฟรี

โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง facebook หรือ Line ได้ที่นี่เลยครับ

ปรึกษา เสริมคาง เสริมจมูก ออนไลน์
Line chat facebook chat