
คีลอยด์ คืออะไร
คีลอยด์ คืออะไร ? คีลอยด์ เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่ง ที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัด มีลักษณะนูนขึ้นจากผิวหนังบริเวณที่ผ่าตัด ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- แผลเป็นขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า Hypertrophic Scar ขนาดความนูนของชนิดนี้มีขนาดเล็ก ไม่เกินขอบแผลออกมา ลักษณะอาจจะเป็นไตแข็ง ๆ เล็กน้อยหลังการผ่าตัด
- แผลเป็นขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า Keloid เป็นแผลที่มีลักษณะนูนใหญ่ เป็นก้อน มองเห็นได้ชัด โดยทั่วไป ขนาดใหญ่ล้นเกินขอบแผล จะเริ่มเห็นแผลนูนชัดหลังการผ่าตัด 2-3 เดือนเป็นต้นไป รอยแผลเป็นประเภทนี้จะไม่ยุบหายไปเองได้ ส่วนใหญ่ เกิดขึ้นบริเวณ หู หน้าอก แขน ไหล่ ขา เป็นต้น
คีลอยด์เกิดจากอะไรได้บ้าง?
คีลอยด์ (Keloid) เกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

1.การสร้างคอลลาเจนมากเกินไป
แผลคีลอยด์เกิดจากการที่ร่างกายผลิตคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมแผลมากเกินไป จนเกิดความไม่สมดุล ส่งผลให้แผลนูนแข็ง และไม่เรียบเหมือนแผลปกติทั่วไป
2.พันธุกรรม
ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นแผลคีลอยด์ จะมีแนวโน้มเกิดแผลคีลอยด์ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะในผู้ที่เคยเกิดแผลคีลอยด์ตั้งแต่วัยเด็ก โอกาสเกิดซ้ำในอนาคตก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
3.สีผิวและเชื้อชาติ
พบว่าผู้ที่มีผิวสีเข้ม เช่น ชาวแอฟริกัน และชาวเอเชีย รวมถึงคนไทย มีความเสี่ยงในการเกิดแผลคีลอยด์มากกว่าผู้ที่มีผิวขาว
4.ฮอร์โมนในร่างกาย
ฮอร์โมนมีบทบาทต่อการเกิดคีลอยด์ โดยพบว่าในหญิงตั้งครรภ์จะมีโอกาสเกิดแผลคีลอยด์ได้มากขึ้น
ในขณะที่หญิงวัยทองซึ่งมีระดับฮอร์โมนลดลง จะมีความเสี่ยงในการเกิดคีลอยด์น้อยลง
5.ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
แม้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับกลไกของคีลอยด์พอสมควร แต่ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเหตุใดร่างกายจึงตอบสนองต่อการซ่อมแซมแผลในลักษณะที่มากผิดปกติจนเกิดเป็นแผลคีลอยด์
สาเหตุที่เกิดแผลเป็นคีลอยด์
1.มักจะเกิดจากการดูแลหลังการผ่าตัดที่ไม่ดี เช่น หลังการผ่าตัดแล้วแผลโดนน้ำในช่วงแรก หรือเกิดการแคะ แกะ เกา แผลที่ตกสะเก็ด ทำให้แผลหายช้า

2.เกิดจากพันธุกรรม สำหรับคนที่เป็นแผลเป็นง่ายอยู่แล้ว
3.เกิดจากหมอที่ผ่าตัด กรณีผ่าตัดขนาดใหญ่ อาจจะมีการเลาะผังผืด ขูดสาร สำหรับเคสที่ยาก อาจจะทำให้รอยแผลใหญ่กว่าปกติ ก็สามารถเกิดคีลอยด์ได้
วิธีการรักษา เมื่อเป็นคีลอยด์
การรักษาคีลอยด์คุณหมอจะวินิจฉัยจากรอยแผลเป็น จะตรวจดูด้วยตาเปล่า ว่ารอยแผลเป็นนั้น คือแผลเป็นขนาดเล็ก (Hypertrophic Scar ) หรือ แผลเป็นขนาดใหญ่ (Keloid ) หากเป็นแผลเป็นขนาดเล็ก การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก แค่หมั่นทายา แล้วรอยแผลจะค่อย ๆ จาง และดีขึ้น และสามารถฉีดสลายหรือเลเซอร์ออกได้

ส่วนแผลเป็นขนาดใหญ่ อาจจะมีการฉีดย้ำ ๆ เพื่อให้แผลที่นูน เล็กลง ซึ่งสามารถฉีดเข้าไปบริเวณรอยแผลโดยตรง หรือหากแผลนูนใหญ่มาก ๆ เป็นก้อนชัด อาจจะต้องทำการผ่าตัด ก้อนนูนนั้นออก เพื่อรอยแผลเล็กลง
คีลอยด์เกิดขึ้นในตำแหน่งใดได้บ้าง?
แผลเป็นคีลอยด์สามารถเกิดได้ในหลายตำแหน่งของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวหนังมีแรงตึงสูง หรือมีการบาดเจ็บบ่อย ซึ่งมักกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากกว่าปกติ โดยตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่:
1.บริเวณหัวไหล่
เป็นตำแหน่งที่มีแรงตึงของผิวหนังสูง และมักเกิดแผลจากการฉีดยา ผ่าตัด หรืออุบัติเหตุ ทำให้มีโอกาสเกิดคีลอยด์ได้ง่าย

2.หน้าอกและหลังส่วนบน
มักเกิดจากสิวหรือการบีบสิวในบริเวณนี้ ซึ่งมีโอกาสพัฒนาเป็นแผลคีลอยด์ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรม

3.ใบหู
โดยเฉพาะบริเวณติ่งหูและกระดูกอ่อนของใบหู มักเกิดจากการเจาะหู ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของการเกิดคีลอยด์ที่หู

4.ตำแหน่งอื่น ๆ ทั่วร่างกาย
คีลอยด์สามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณที่มีบาดแผลหรือการผ่าตัด เช่น แผลจากการผ่าคลอด แผลจากอุบัติเหตุ หรือแผลผ่าตัดเล็ก ๆ หากมีปัจจัยเสี่ยงร่วม เช่น พันธุกรรมหรือการดูแลแผลไม่เหมาะสม

ทำไงไม่ให้เป็นคีลอยด์

- หลีกเลี่ยงการเกิดแผลโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะในบริเวณที่มีโอกาสเกิดคีลอยด์สูง เช่น หัวไหล่ หน้าอก ใบหู และหลังส่วนบน
- อย่าลูบหรือจับแผลบ่อย ๆการสัมผัสหรือขยี้บริเวณแผลบ่อย ๆ อาจกระตุ้นให้แผลอักเสบและขยายใหญ่ขึ้น
- ไม่แกะสะเก็ดแผล การแกะสะเก็ดแผลก่อนที่ผิวจะฟื้นตัวสมบูรณ์ อาจทำให้แผลหายช้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดคีลอยด์
- ดูแลไม่ให้แผลอักเสบหรือติดเชื้อ แผลที่มีอาการบวมแดง น้ำเหลืองซึม หรือเป็นหนอง จะหายช้า และมีโอกาสเกิดคีลอยด์ได้มากขึ้น
- เมื่อแผลแห้งแล้ว ให้ใช้ยาทารอยแผลเป็นเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของซิลิโคนเจล หรือสารสกัดจากหัวหอม (Allium cepa) เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และควบคุมการสร้างคอลลาเจน
ถามมา – ตอบไป
Q : คีลอยด์อันตรายไหม?
A : แผลคีลอยด์ไม่ถือว่าเป็นอันตรายทางการแพทย์ แม้บางจุดอาจมีลักษณะนูนหรือขยายใหญ่ขึ้น แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ผิดปกติหรือมะเร็งแต่อย่างใด
Q : คีลอยด์ รักษาได้ไหม
A : คีลอยด์สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ แต่การรักษาให้หายขาดนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะของแผล สภาพผิว และวิธีการรักษาที่เลือกใช้ คีลอยด์อาจไม่หายไปเองและอาจขยายใหญ่ขึ้นได้หากไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นการปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
Q : เสริมคาง แผลนอก จะเป็นคีลอยด์มั้ย
A : การทำคาง เป็นแผลผ่าตัดขนาดเล็ก ความยาวขนาดแผล ประมาณ 1 ซม. สำหรับคนที่ไม่เป็นคีลอยด์ง่าย ไม่เป็นคีลอยด์แน่นอน แต่หากคนที่เป็นแผลเป็นง่าย
หรือเกิดจากพันธุกรรม หลังเสริมคางอาจจะเป็นแผลขนาดเล็กไม่ถึงกับเป็นคีลอยด์ ซึ่งสามารถทายาทารอย เช้า – เย็น ต่อเนื่อง รอยแผลจะค่อย ๆ จางประมาณ 1-3 เดือน


Q : หลังผ่าตัดเสริมคาง ไก่ – ไข่ ทานได้มั้ย
A : ไก่ ไข่ เป็นโปรตีน หลังการทำคาง สามารถทานได้ คุณหมอไม่ได้ห้าม แต่หากกังวลเรื่องรอยแผลเป็น แผลคีลอยด์ จะงดเองก็งดได้ ไม่มีปัญหา
Q : การป้องกันหลังการผ่าตัดเพื่อไม่ให้เกิดคีลอยด์
A : การดูแลแผลหลังการผ่าตัด เป็นสิ่งสำคัญ ควรดูแลรักษาแผลให้หายเร็วที่สุด ปิดแผลไว้หลังการผ่าตัด ห้ามโดนน้ำจนกว่าแผลจะแห้งสนิท ห้ามแคะ แกะ เกาแผล หรือบริเวณรอบ ๆ ที่แผลตกสะเก็ด ซึ่งอาจจะทำให้แผลหายช้า และเกิดแผลนูนได้
Q : หากเกิด คีลอยด์ จะดูแลยังไง
A : หากเกิดแผลคีลอยด์ขึ้น เห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะบริเวณไหน หรือการผ่าตัดแบบไหน คุณหมอจะฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบของแผลนูน จะทำให้แผลค่อย ๆ ยุบ การใช้เลเซอร์ในการรักษา
หรือบางเคสอาจจะต้องผ่าตัดเพื่อให้แผลมีขนาดเล็กลง แต่ยังไงก็ตาม คีลอยด์ประเภทนูนใหญ่มาก ๆ หากรับการผ่าตัดไปแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นอีกได้ หากดูแลรักษาไม่ดี
ไม่อยากเป็นแผลคีลอยด์ ต้องดูแลตัวเองให้ดี เพราะการดูแลหลังการผ่าตัด เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ที่ต้องคำนึงถึง


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ We Clinic ยินดีให้คำปรึกษาฟรี
โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง facebook หรือ Line ได้ที่นี่เลยครับ