สร้างร่อง 11หรือ ปั้นก้นเด้ง ได้ใน 30 นาทีจริงเหรอ? HIFEM ตัวช่วยสุดฮอตที่คนรักหุ่นเลือกใช้ HIFEM แล้วต้องทำกี่ครั้ง? ถึงจะเห็นผลจริง บอกหมดในบทความนี้
HIFEM คืออะไร
HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูงแบบโฟกัส เป็นเทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง
ที่ใช้ในการกระตุ้นกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงให้เกิดการหดตัวและคลายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมากกว่าการออกแรงด้วยตัวเอง การทำ HIFEM สามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันได้ในเวลาเดียวกัน
HIFEM มีหลักการทำงานอย่างไร
เครื่อง HIFEM ทำงานโดยส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง (~2.5 Tesla) ไปกระตุ้นเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อโดยตรง ไม่ต้องผ่านสมอง คลื่นนี้จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวอย่างต่อเนื่องและลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อหลัก
ซึ่งเป็นการหดตัวพิเศษนี้เรียกว่า Supramaximal Contraction คือแรงกว่าที่ร่างกายเราจะทำได้เองถึง 90-95% เทียบได้กับการซิทอัพหรือแพลงก์ด้วยตัวเองหลายร้อยครั้ง
ใน 1 ครั้งใช้เวลาเพียง 30 นาที แต่กล้ามเนื้อจะถูกกระตุ้นให้หดเกร็งตัวมากกว่า 20,000 ครั้ง โดยไม่มีแรงกระแทก ไม่ปวดข้อต่อ และไม่เสี่ยงบาดเจ็บ
เหมาะสำหรับคนที่อยากมี ร่อง 11, ก้นเด้ง, หรือฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายบ่อย ๆ หรืออยากเสริมผลลัพธ์ให้ชัดเจนขึ้น
HIFEM เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น ร่อง 11 หรือซิกแพ็ก
- ผู้ที่ต้องการกระชับก้นให้กลมเด้ง โดยไม่เพิ่มขนาดต้นขา
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันได้เล็กน้อย พร้อมเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
- ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ต้องการเร่งผลลัพธ์หรือเก็บรายละเอียด
- ผู้ที่มีข้อจำกัดทางกายภาพ ไม่สามารถออกกำลังกายหนักได้ เช่น คนที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ผู้สูงอายุที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง
- คุณแม่หลังคลอดที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อแกนกลางและลดไขมันหน้าท้อง
ใครบ้างที่ห้ามทำ HIFEM
- ผู้ที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ โลหะหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย
- ผู้ที่มีโรคหัวใจหรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีไส้เลื่อนในช่องท้องที่ยังไม่ได้รับการรักษา
- ผู้ที่มีภาวะลิ่มเลือดเฉียบพลันหรือโรคหลอดเลือดรุนแรง
HIFEM ทำจุดไหนได้บ้าง
- กล้ามเนื้อหน้าท้อง (Rectus abdominis)
- กล้ามเนื้อข้างหน้าท้อง (Oblique)
- กล้ามเนื้อก้น (Gluteus maximus, Gluteus medius)
- กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core)
- ต้นแขน (Triceps)
- ต้นขาด้านหน้า (Quadriceps)
- ต้นขาด้านหลัง (Hamstrings)
HIFEM สร้างร่อง 11 ได้อย่างไร
การทำ HIFEM บริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Rectus abdominis และ Oblique) ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อในระดับลึกและต่อเนื่อง ส่งผลให้กล้ามเนื้อพัฒนาและแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อไขมันใต้ผิวหนังลดลงควบคู่กัน จะทำให้เส้นกล้ามเนื้อข้างหน้าท้องหรือที่เรียกกันว่า “ร่อง 11” (Linea semilunaris) มีความชัดเจนมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ยังไม่สามารถสร้างร่อง 11 ได้อย่างชัดเจนด้วยตัวเอง
HIFEM ปั้นก้นได้อย่างไร
การทำ HIFEM บริเวณกล้ามเนื้อก้น (Gluteus maximus และ Gluteus medius) จะเน้นการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวแบบ supramaximal contraction มากกว่า 20,000 ครั้งต่อครั้ง
ส่งผลให้กล้ามเนื้อก้นหนาแน่นขึ้น ยกกระชับ และมีทรงที่กลมเด้งขึ้น ลดปัญหาก้นแบนหรือหย่อนคล้อย
นอกจากนี้ยังไม่เพิ่มขนาดต้นขา เพราะเป็นการกระตุ้นเฉพาะกล้ามเนื้อก้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทรงก้นสวยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องขาใหญ่หรือบาดเจ็บจากการออกกำลังกายหนัก
HIFEM เสริมสมรรถภาพเพศชายได้อย่างไร?
การทำ HIFEM ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core) และ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (pelvic floor) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่ควบคุมการแข็งตัวและการหลั่งของอวัยวะเพศชาย
เมื่อกล้ามเนื้อเหล่านี้แข็งแรงขึ้น จะช่วยให้:
- ควบคุมการแข็งตัวได้ดีขึ้น
- ชะลอการหลั่ง ช่วยให้มีเพศสัมพันธ์ได้นานขึ้น
- เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ
- เพิ่มความมั่นใจและฟื้นฟูสมรรถภาพโดยรวม
HIFEM เสริมสมรรถภาพเพศหญิงได้อย่างไร?
HIFEM ช่วยกระตุ้นและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic floor) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่รองรับมดลูก กระเพาะปัสสาวะ และลำไส้ เมื่อกล้ามเนื้อนี้แข็งแรงขึ้นจะช่วยให้:
- ช่องคลอดกระชับขึ้น เพิ่มความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์
- ลดปัญหาปัสสาวะเล็ด เวลาจาม หัวเราะ หรือออกกำลังกาย
- ฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หลังคลอดหรือช่วงวัยทอง
- เพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิตทางเพศโดยรวม
ทำไม HIFEM ของ WE Clinic ถึงเห็นผลไวและแม่นยำ?
- หัวเครื่อง (Probe) ออกแบบเฉพาะแนวกล้ามเนื้อ โอบแนบกล้ามเนื้อหลัก เช่น หน้าท้อง ก้น หรือข้างลำตัว ได้ตรงจุดคลื่นแม่เหล็กลงได้ลึก ไม่กระจายผิดทิศทาง
- กระตุ้นกล้ามเนื้อแบบค้างจังหวะ (Isometric Hold) หดกล้ามเนื้อแรงและนิ่ง 5–10 วินาทีในแต่ละรอบ เหมือนเล่นเวทแล้วค้างท่าไว้ต่อเนื่อง ช่วยเร่งการสร้างกล้ามเนื้อ
- เข้าถึงระดับ 90–95% ของ Maximal Voluntary Contraction เป็นระดับสูงสุดที่ร่างกายสามารถสั่งให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ด้วยตัวเอง ซึ่งสูงกว่าที่ร่างกายจะทำเองได้ แม้ในคนฟิต จึงช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและสลายไขมันได้เร็วขึ้น
- ไม่ต้องพึ่งกล้ามเนื้อรอบข้างหรือแรงจากหลังส่วนล่าง ลดความเสี่ยงบาดเจ็บ เหมาะกับคนออกกำลังกายไม่ได้
จุดเด่นของHIFEM ที่ WE Clinic
- แพทย์จะเริ่มจากการออกแบบโปรแกรม โดยพิจารณาจากสรีระและโครงสร้างกล้ามเนื้อเฉพาะบุคคล
- ใช้แรงแม่เหล็กสูง 2.5 Tesla กำลังไฟคงที่ตลอดการทำ ไม่ดรอป ไม่ลดระดับ
- ระบบกระตุ้นแบบ Isometric Hold
- คือการบังคับให้กล้ามเนื้อ “หดค้าง” อยู่กับที่ตลอด 5–10 วินาทีในแต่ละรอบ
- เหมือนการค้างท่าแพลงก์หรือยกเวทค้างไว้ ไม่ใช่แค่หด-คลายเบา ๆ ชั่วครู่
- ช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อได้ลึกและต่อเนื่องมากกว่าการหดตัวธรรมดา
- ผ่านการทดสอบจากเคสจริงกว่า 100 คน และเลือกใช้จากหลายแบรนด์ที่ทดลองมาแล้ว
- ได้มาตรฐานความปลอดภัยทั้ง FDA (สหรัฐอเมริกา), CE (ยุโรป) และ อย.ไทย
- ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ให้ความรู้สึกว่า “เกร็งหนักเหมือนซิทอัพหลายร้อยครั้ง” โดยไม่ต้องออกแรงเอง
HIFEM ได้ผลจริงไหม
มีการศึกษาวิจัยรองรับมากมาย ทั้งจาก MRI, Ultrasound, Clinical Trial พบว่า:
- กล้ามเนื้อหนาขึ้น 16-18% ภายใน 4-8 ครั้ง
- ไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) ลดลง 17-21%
- เพิ่มความแข็งแรงของ core muscle และความสมดุลของร่างกาย
- สามารถช่วยป้องกันอาการปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) ได้
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : Multicenter MRI study: flank-HIFEM × 4 → muscle ↑ 15-18 %, fat ↓ 17-21 % @ 8 wks
(academic.oup.com/asj/article/44/8/850/7626230?utm_source=chatgpt.com)
รู้ได้อย่างไรว่า HIFEM ได้ผล?
หลังการใช้ HIFEM ผู้ใช้จะสามารถประเมินผลเบื้องต้นได้จาก 3 กลุ่มสัญญาณดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ:
การวัดรอบเอว รอบต้นขา หรือบริเวณที่รักษา มักพบการลดลงของไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) ประมาณ 15–20% ภายใน 4–8 ครั้ง
พร้อมกับการเพิ่มความหนาของมัดกล้ามเนื้อ (muscle thickness) เฉลี่ย 16–18% ซึ่งสามารถสังเกตได้ด้วยสายตาเปล่า เช่น ร่อง 11 ชัดขึ้น หน้าท้องแน่นขึ้น หรือสัดส่วนกระชับขึ้น
- อาการเมื่อยล้าหลังทำ (Delayed Onset Muscle Soreness – DOMS):
จะรู้สึกเมื่อยล้าเหมือนออกกำลังกายหนักมาอย่างหนัก เช่น หัวเราะแล้วเจ็บกล้ามเนื้อเล็กน้อย หรือรู้สึกเกร็งค้างตลอดในบริเวณที่ทำ เช่น หน้าท้องหรือสะโพก แสดงว่าเกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพ - การตอบสนองของร่างกาย:
หลายคนจะเริ่มรู้สึกถึงความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้น เช่น การทรงตัวดีขึ้น แพลงก์ได้นานขึ้นและมากขึ้นหรือรู้สึก core body แข็งแรงขณะเคลื่อนไหว
กล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้น มีข้อดีอย่างไร
การทำ HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) แล้วทำให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นนั้น มีข้อดีทางการแพทย์ที่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ดังนี้:
- มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น (Muscle Mass) HIFEM กระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดเกร็งในระดับ “Supramaximal” (มากกว่าการออกกำลังกายปกติ) ทำให้เส้นใยกล้ามเนื้อหนาแน่นขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้จริง ลดความเสี่ยงของกล้ามเนื้อฝ่อลีบ (muscle atrophy) ในผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย หรือผู้ที่อยู่ในช่วงพักฟื้นหลังผ่าตัด/เจ็บป่ว
- ระบบเผาผลาญดีขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อเยอะขึ้น ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้น แม้ตอนที่เรานั่งเฉย ๆ หรือหลับอยู่ (เรียกว่าเผาผลาญพื้นฐาน หรือ Basal Metabolic Rate) เหมือนร่างกายมีเตาเผาใหญ่ขึ้น เลยใช้พลังงานได้มากขึ้นกว่าคนที่มีกล้ามเนื้อน้อย ผลดีคือช่วยควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น, ลดโอกาสลงพุง (ไขมันในช่องท้อง) ,ลดความเสี่ยงเป็นเบาหวาน เพราะน้ำตาลในเลือดจะถูกใช้ไปกับกล้ามเนื้อมากขึ้น
- เสริมความมั่นคงของแกนกลางลำตัว (Core Stability) HIFEM มักใช้กับกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อแกนกลาง และสะโพก ซึ่งช่วยให้โครงสร้างร่างกายแข็งแรงขึ้น ลดอาการปวดหลังส่วนล่าง (Low Back Pain) เพิ่มความสามารถในการยืน เดิน นั่งลุก เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้มีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง
ระหว่างทำ HIFEM – กล้ามเนื้อทำงานอย่างไร?
- นาทีที่ 0–10 กล้ามเนื้อเริ่มถูกกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง เกิดการหดตัวแบบ supramaximal contraction เป็นจังหวะ รู้สึก “เกร็งตุบ ๆ” สบาย ๆ ยังไม่เมื่อย หายใจได้ตามปกติ
- นาทีที่ 10–20 กล้ามเนื้อเริ่มทำงานต่อเนื่อง เกิดการสะสมกรดแลคติก (Lactic Acid) รู้สึกเมื่อยคล้ายออกกำลังกายหนัก แต่ไม่ต้องกลั้นลมหายใจ เป็นสัญญาณว่ากล้ามเนื้อใช้พลังงานในระดับสูงแล้ว
- นาทีที่ 20–30 เครื่องเข้าสู่โหมด Isometric Hold (หดกล้ามเนื้อค้างนาน 5–10 วินาที) กระตุ้นกล้ามเนื้อได้ใกล้เคียงถึง 90–95% ของระดับแรงสูงสุดที่ร่างกายสามารถเกร็งกล้ามเนื้อได้ด้วยตัวเอง จะรู้สึกเกร็งลึก คล้ายกับเล่นเวท “จนหมดแรง” แม้นอนอยู่เฉย ๆ
หลังทำ HIFEM – จะเกิดอะไรขึ้น?
- เมื่อยกล้ามเนื้อเฉพาะจุด 12–48 ชั่วโมง คล้ายอาการ DOMS (ปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย) บ่งบอกว่ากล้ามเนื้อถูกใช้งานจริงและเริ่มเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู
- ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ฟกช้ำ เพราะใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่มีแรงกดหรือดึงบนผิวหนัง
- ทำซ้ำได้ 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ปลอดภัยต่อกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ช่วยเร่งผลลัพธ์ให้เร็วและคงอยู่ได้นานขึ้น
ขั้นตอนการทำ HIFEM ที่ WE Clinic
- ประเมินก่อนทำโดยแพทย์ พร้อมสแกนร่างกาย เริ่มจาก consult กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมวัด % ไขมัน, น้ำหนัก และรอบเอว เพื่อดูจุดที่ควรเน้นในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ และใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบหลังจบคอร์ส
- ติดหัวเครื่อง (Probe) ตามโปรแกรมเฉพาะบุคคล ตำแหน่งของ probe จะถูกวางตามแนวกล้ามเนื้อหลัก เช่น หน้าท้อง ก้น หรือ core เพื่อให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่งพลังงานได้ลึกและแม่นยำ
- เริ่มกระตุ้นกล้ามเนื้อ 20-40 นาที ด้วยระบบ Contract–Relax เครื่องจะกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวค้าง (isometric hold) และคลายตัวสลับกันอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงเกร็งระดับ Supramaximal มากกว่าการเกร็งด้วยตัวเอง ช่วยสร้างกล้ามและลดไขมันในเวลาเดียว
- หลังทำยืดกล้ามเนื้อและดื่มน้ำช่วยลดกรดแลคติก อาจรู้สึกเมื่อยคล้ายวันหลังออกกำลังกาย แนะนำให้ยืดกล้ามเนื้อเบา ๆ และดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อช่วยขับของเสียและลดอาการล้า
- แนะนำทำสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง เพื่อผลลัพธืที่ชัดเจน เมื่อครบคอร์สแล้ว สามารถกลับมาทำซ้ำทุก 3–6เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้กล้ามเนื้อเฟิร์มและไม่ให้ไขมันไม่กลับมา
HIFEM ราคาเท่าไร
- HIFEM สร้างร่อง 11 ด้วยคอร์ส 5 ครั้ง: 9,000 บาท (เฉลี่ย 1,800 บาท/ครั้ง) หรือ คอร์ส 10 ครั้ง + ฟรี 2 ครั้ง: 17,900 บาท (เฉลี่ย 1,492 บาท/ครั้ง )
- HIFEM ปั้นก้นกลม ด้วยคอร์ส 5 ครั้ง: 14,900 บาท (เฉลี่ย 2,980 บาท/ครั้ง) หรือคอร์ส 10 ครั้ง + ฟรี 2 ครั้ง: 24,900 บาท (เฉลี่ย 2,075 บาท/ครั้ง)
พิเศษโปรโมชั่นทดลองครั้งแรก 3,490 บาท แถมฟรีทันทีอีก 1 โซน
HIFEM เจ็บไหม
ระหว่างทำจะรู้สึกถึงการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในจังหวะต่าง ๆ โดยไม่เจ็บ แต่มีความรู้สึก “ตึง สั่น หนักๆ” คล้ายกับการออกกำลังกายเข้มข้น หลังทำจะมีอาการเมื่อยเหมือนเล่นเวท ไม่ทำให้เกิดบาดแผลหรือ downtime
ทำ HIFEM กี่ครั้งถึงเห็นผล
โดยทั่วไป แนะนำให้ทำ HIFEM อย่างน้อย 4-6 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน โดยทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งต่อเนื่องกัน
จากงานวิจัยพบว่า หลังจากครบ 4-8 ครั้ง กล้ามเนื้อจะหนาขึ้น 16-18% ไขมันลดลง 15-20% และความแข็งแรงของ core muscle จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายเดิม และการดูแลตนเองร่วมด้วย เช่น การรับประทานโปรตีนและการออกกำลังกายเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
สรุป
HIFEM คือเทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูงแบบโฟกัส ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวและคลายตัวอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมันเฉพาะจุดในคราวเดียว เหมาะกับคนที่อยากมีร่อง 11 หน้าท้องชัด หรือก้นกลมเด้งโดยไม่ต้องเจ็บตัว
หากทำควบคู่กับการออกกำลังกายและการกินอาหารที่มีประโยชน์ร่างกายจะตอบสนองต่อ HIFEM ได้ดีขึ้น เห็นผลชัดเจนและปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และใช้เครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อที่ได้มาตรฐาน
ข้อมูลอ้างอิงจาก
- Multicenter MRI study: flank-HIFEM × 4 → muscle ↑ 15-18 %, fat ↓ 17-21 % @ 8 wks
(academic.oup.com/asj/article/44/8/850/7626230?utm_source=chatgpt.com) - Systematic review 2023 ยืนยันความปลอดภัย + ผลลัพธ์กล้าม/ไขมันในช่องท้อง
(pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC9869942/?utm_source=chatgpt.com) - HI-SMS trial แสดงกล้าม oblique ตอบสนองสูงสุดในกลุ่มกล้ามหน้าท้อง
(pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/36718803/)
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ We Clinic ยินดีให้คำปรึกษาฟรี
โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง facebook หรือ Line ได้ที่นี่เลยครับ