เรตินอล คืออะไร
เรตินอล (Retinol) คือวิตามินเอในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) เรตินอล มักนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกลุ่ม Anti-aging ได้รับการยอมรับในวงการความงามว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการดูแลผิว เรตินอลมีคุณสมบัติเด่นในการลดเลือนริ้วรอย รอยดำจากสิว และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใส พร้อมเสริมการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ให้ผิวดูเรียบเนียน เต่งตึง และอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
เรตินอล เรตินอยด์ และเรตินัล ต่างกันอย่างไร?
เรตินอล (Retinol), เรตินอยด์ (Retinoid) และ เรตินัล (Retinal) คือคำศัพท์ที่มักโผล่ขึ้นมาในโลกของสกินแคร์ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เน้นเรื่องลดริ้วรอย รักษาสิว และผลัดเซลล์ผิว แม้ฟังดูคล้ายกัน แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างทั้งด้านโครงสร้างเคมี ความเข้มข้น และผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เราสามารถแบ่งสารในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) คือชื่อกลุ่มของสารวิตามินเอและอนุพันธ์ของวิตามินเอ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามโครงสร้างทางเคมี และความเข้มข้นของเรตินอยด์แต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้
- Retinyl Esters
เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอในกลุ่มเครื่องสำอางที่อ่อนโยนที่สุด ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้โดยตรง แต่ต้องอาศัยเอนไซม์ในผิวเพื่อเปลี่ยนผ่าน 3 ขั้นตอน จึงจะกลายเป็นกรดเรติโนอิกที่มีฤทธิ์ต่อผิวได้จริง ด้วยเหตุนี้จึงเห็นผลช้ากว่าเรตินอล แต่ก็มีข้อดีคือระคายเคืองต่ำมาก เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือกำลังเริ่มใช้วิตามินเอเป็นครั้งแรก
- เรตินอล (Retinol)
เรตินอล (Retinol)เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอในกลุ่มเครื่องสำอางที่ได้รับความนิยมสูง เพราะให้ผลชัดเจนในการลดเลือนริ้วรอย กระชับผิว และผลัดเซลล์ผิว หากใช้ต่อเนื่อง 3–6 เดือน เรตินอลต้องผ่านกระบวนการในผิว 2 ขั้นตอนก่อนเปลี่ยนเป็นกรดเรติโนอิก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการดูแลผิวในระยะยาว ทั้งนี้ควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจเกิดการระคายเคืองได้ในช่วงแรกได้ค่ะ
- เรตินัล (Retinal หรือ Retinaldehyde)
เป็นอนุพันธ์วิตามินเอในกลุ่มเครื่องสำอางที่มีฤทธิ์แรงกว่าเรตินอล เพราะต้องเปลี่ยนผ่านในผิวเพียง 1 ขั้นตอนก่อนกลายเป็นกรดเรติโนอิก จึงเห็นผลเร็วกว่า โดยเฉพาะเรื่องริ้วรอยลึกและผิวไม่เรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่เคยใช้เรตินอลมาแล้ว และต้องการเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องขยับไปใช้ยารักษา ทั้งนี้ แม้เรตินัลให้ผลลัพธ์ไว แต่ควรใช้อย่างต่อเนื่องและระมัดระวัง เพราะมีโอกาสระคายเคืองมากขึ้นเช่นกัน
- Retinoic Acid (Tretinoin)
Retinoic Acid (Tretinoin)อยู่ในกลุ่มยาและอยู่ในรูปแบบ Active Form ซึ่งสามารถออกฤทธิ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการแปลงสภาพ นิยมใช้ในการรักษาสิว รอยดำ และหลุมสิว แต่มีโอกาสระคายเคืองสูง จึงต้องได้รับการจ่ายโดยแพทย์เท่านั้นนะคะ
- Adapalene
เป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่ออกแบบมาเพื่อรักษาสิวโดยเฉพาะ เช่น Differin มีความคงตัวสูง ระคายเคืองน้อยกว่ากรดวิตามินเอทั่วไป แต่ยังให้ผลดีในการป้องกันสิวอุดตันและสิวอักเสบ
- Tazarotene
จัดอยู่ในกลุ่มยาเช่นกัน ใช้รักษาสิวและโรคผิวหนังบางประเภท เช่น โรคสะเก็ดเงิน มีฤทธิ์แรง และอาจระคายเคืองสูงมาก จึงต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด
เรตินอลทำงานอย่างไร?
เรตินอล (Retinol) จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของผิวในระดับเซลล์ โดยเริ่มจากการจับกับตัวรับพิเศษที่อยู่ในบริเวณผิวหนังกำพร้า จากนั้นจะกระตุ้นให้เกิดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการต่าง ๆ ของผิว เช่น กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวทำให้ผิวหนาตัวขึ้น กระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์คอลลาเจนมากขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียน หนาขึ้น และแข็งแรงขึ้น
จุดเด่นของเรตินอลคืออะไร
จุดเด่นของเรตินอลคือช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง คอลลาเจนชนิดที่ 1, 3 และ 7 ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ทำให้ผิวดูตึง กระชับ และอ่อนเยาว์ อีกทั้งยังช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนเดิม ทำให้ผิวไม่หย่อนคล้องง่ายตามวัย เรตินอลยังช่วยเพิ่ม ความชุ่มชื้น โดยกระตุ้นการสร้างสารที่ช่วยกักเก็บน้ำในผิว และยังมีคุณสมบัติลดการอักเสบ จึงเหมาะกับคนที่มีสิวหรือผิวอ่อนแอ
เรตินอล (Retinol) เป็นส่วนผสมทรงพลังในวงการสกินแคร์ ที่ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องริ้วรอย แต่ยังครอบคลุมการดูแลผิวในหลากหลายมิติ ดังนี้:
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิว
เรตินอลสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1, 3 และ 7 ซึ่งเป็นคอลลาเจนสำคัญในผิว ทำให้ผิวดูแน่น กระชับ มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และชะลอสัญญาณแห่งวัยในระยะยาว - ลดหลุมสิว เมื่อใช้เรตินอลต่อเนื่อง ผิวจะผลัดเซลล์ได้ดีขึ้น คอลลาเจนใหม่จะถูกสร้างเพิ่ม ทำให้พื้นผิวเรียบเนียน และหลุมสิวตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ลดริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นรอยหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว หรือรอยตีนกา เรตินอลสามารถช่วยให้ริ้วรอยเหล่านี้ดูจางลง และเมื่อใช้ต่อเนื่องยังช่วยลดความลึกของร่องลึกได้อีกด้วย
- ลดจุดด่างดำและรอยดำจากสิว เรตินอลช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวใหม่ จึงทำให้รอยดำจากสิวจางเร็วขึ้น พร้อมปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสยิ่งขึ้น
- ควบคุมความมันและลดรูขุมขน ด้วยการควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน เรตินอลช่วยลดความมันส่วนเกิน ทำให้รูขุมขนดูเล็กลง ผิวดูเนียนละเอียดขึ้น
- ลดการอักเสบของสิว
เรตินอลมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และช่วยให้รูขุมขนไม่อุดตัน จึงช่วยลดทั้งสิวอักเสบและสิวหัวดำได้ ไม่เฉพาะบนใบหน้า แต่รวมถึงบริเวณอก หลัง และลำตัวด้วย
ข้อควรระวังในการใช้เรตินอล
แม้ว่า เรตินอล (Retinol) จะเป็นสารที่ได้รับความนิยมและปลอดภัยเมื่อใช้ถูกวิธี แต่ก็มีข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากใช้ผิด อาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดผลข้างเคียงได้ง่าย:
- ห้ามใช้ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
สารในกลุ่มวิตามินเอ รวมถึงเรตินอล อาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ จึงไม่ควรใช้โดยเด็ดขาดหากคุณกำลังตั้งครรภ์ วางแผนมีบุตร หรืออยู่ในช่วงให้นม - เรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดด
ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด และหมั่นทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกเช้า เพื่อปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายเพิ่มเติมขณะใช้เรตินอล - เริ่มจากความเข้มข้นต่ำ และใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป
หากเพิ่งเริ่มใช้เรตินอล ควรเริ่มที่สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ช่วงกลางคืนเท่านั้น เพื่อให้ผิวมีเวลาปรับตัว ลดความเสี่ยงต่อการระคายเคือง แห้ง หรือลอกเป็นขุย - หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับสารที่ผลัดผิว
ไม่ควรใช้เรตินอลร่วมกับกรดวิตามินซี AHA, BHA หรือเรตินอยด์ตัวอื่นในช่วงเวลาเดียวกัน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงให้ผิวแห้ง แสบ หรือระคายเคืองมากขึ้น
ถ้าไม่ใช้เรตินอล… มีทางเลือกไหนบ้างในการบำรุงผิว?
แม้ว่า เรตินอล (Retinol) จะเป็นตัวช่วยยอดนิยมในการฟื้นฟูผิว ลดสิว และลดริ้วรอย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีข้อจำกัด เช่น ผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรืออยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งในกรณีเหล่านี้ ยังมีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการใช้เรตินอล
1.ฟิลเลอร์
หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมคือการฉีดฟิลเลอร์เนื้อบางเบาลงสู่ผิวชั้นตื้น โดยใช้สาร Hyaluronic Acid ที่มีคุณสมบัติช่วยอุ้มน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้น และฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก เมื่อฉีดเข้าสู่ผิว ฟิลเลอร์จะกระจายตัวอย่างเรียบเนียน ทำให้ผิวดูเนียนละเอียด ฉ่ำวาว รูขุมขนกระชับขึ้น และช่วยลดความแห้งกร้านของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวไม่สม่ำเสมอ รูขุมขนกว้าง หรือมีปัญหาหลุมสิวตื้น ๆ ซึ่งต้องการการบำรุงที่ลึกกว่าแค่การใช้สกินแคร์ทั่วไป และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้เรตินอลได้
ที่ WE Clinic โดยคุณหมอปิง เรามีบริการฉีดฟิฟลเลอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล พร้อมให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย และตรงกับความต้องการของผิวคุณที่สุด
2.เมโสหน้าใส
แม้ เรตินอล (Retinol) จะเป็นสารบำรุงผิวอันดับต้น ๆ ที่ช่วยลดริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ แต่ก็ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอถึงจะเห็นผล หากคุณต้องการเห็นผลเร็วขึ้นแบบปลอดภัย การทำ เมโสหน้าใส (Mesotherapy) ควบคู่กันคืออีกหนึ่งตัวเลือกที่คุ้มค่า
เมโสหน้าใสคือการผลักวิตามินและสารบำรุงอย่าง Vitamin A (เรตินอล), B, C, E, กลูตาไธโอน และคอลลาเจนเข้าสู่ผิวโดยตรง ผ่านเข็มเล็กละเอียดพิเศษ ช่วยให้สารบำรุงซึมลึกถึงชั้นผิวที่การทาครีมทั่วไปไปไม่ถึง ผิวจึงดูขาวกระจ่างใส เรียบเนียน รูขุมขนกระชับ และดูฉ่ำฟูแบบสุขภาพดีภายในไม่กี่วัน
และถ้าคุณกำลังมองหาคลินิกที่ไว้ใจได้…WE Clinic มีบริการเมโสหน้าใส พร้อมดูแลโดย คุณหมอปิงปิง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ มือเบา ละเอียด และเข้าใจสภาพผิวของแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมโสหน้าใสได้ที่ https://weclinicbkk.com/mesotherapy/
รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเรตินอล (Retinol)
- เรตินอลใช้ยังไง?
ควรใช้เรตินอลในช่วงเวลากลางคืน โดยเริ่มจากสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง เพื่อให้ผิวปรับตัวได้ก่อน จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มความถี่ในการใช้ หรืออาจใช้แบบเว้นวันเพื่อให้ผิวได้พักสลับวันบำรุง ช่วยลดการระคายเคืองในช่วงเริ่มต้นได้ดี
- เรตินอลทาทุกวันได้ไหม?
ถ้าเริ่มต้นใช้เรตินอลควรเริ่มจากสูตรที่มีความเข้มข้นต่ำ เช่น 0.025% ใช้เพียง 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ก่อน เมื่อผิวเริ่มคุ้นเคย ค่อยเพิ่มความถี่หรือระดับความเข้มข้น หากต้องการใช้ทุกวัน แนะนำให้เลือกเรตินอลสูตรอ่อนโยน หรืออนุพันธ์ของวิตามินเอที่อ่อนโยนกว่า เช่น Retinyl Esters
- ผิวบอบบางใช้เรตินอลได้ไหม?
สามารถใช้ได้ แต่ควรระวังเป็นพิเศษ เริ่มจากเรตินอลที่อ่อนโยนและเข้มข้นต่ำ (0.025–0.05%) ทาทีละน้อย และสังเกตอาการในช่วง 2–3 วันแรก หากไม่มีอาการแพ้สามารถค่อย ๆ เพิ่มความถี่ หรือหากกังวลเรื่องระคายเคือง
- เรตินอลเหมาะกับใคร?
เรตินอลเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย รอยดำ รอยแดง สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวหมองคล้ำ หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและกระจ่างใสขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวัย 25–30 ปีขึ้นไป ที่กระบวนการผลัดเซลล์ผิวและการสร้างคอลลาเจนเริ่มช้าลง การใช้เรตินอลตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยชะลอวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใครบ้างที่ไม่ควรใช้เรตินอล?
- หญิงตั้งครรภ์ กำลังวางแผนมีบุตร หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีผิวระคายเคืองง่าย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ หรือเริ่มจากสูตรเข้มข้นต่ำ
- ผู้ที่เพิ่งทำเลเซอร์ หรือมีแผลเปิดบนผิวหนัง
- เรตินอลทำให้หน้าดำจริงไหม?
ไม่จริงค่ะ เรตินอลไม่ได้ทำให้หน้าดำโดยตรง แต่สามารถทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น หากไม่ได้ป้องกันแสงแดดอย่างเหมาะสม ผิวอาจดูหมองลงหรือคล้ำง่ายขึ้น ดังนั้นควรทาครีมกันแดดทุกวัน และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงที่ใช้เรตินอล
- เรตินอลควรใช้คู่กับอะไร?
- มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer): จำเป็นมากเมื่อใช้เรตินอล ช่วยเสริมความชุ่มชื้นและลดการลอก แสบ แห้งของผิวได้ดี
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ลดการระคายเคืองจากเรตินอล และช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
- วิตามินซี (Vitamin C): ใช้ตอนเช้าจะช่วยเสริมการต้านอนุมูลอิสระ ร่วมกับเรตินอลในตอนกลางคืน
- เรตินอลห้ามใช้ร่วมกับอะไร?
- AHA, BHA, Benzoyl Peroxide: การใช้ร่วมกันจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองอย่างมาก
- ควรเว้นผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวอื่น ๆ ในช่วงที่ใช้เรตินอล และไม่ควรทาทับกันในเวลาเดียวกัน
- ใช้เรตินอลนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
โดยทั่วไปเรตินอลจะเริ่มแสดงผลลัพธ์อย่างชัดเจนภายใน 4–12 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่ใช้ และความไวของผิวแต่ละบุคคลแนะนำว่าคือควรใช้ต่อเนื่อง
สรุป
เรตินอล (Retinol) เป็นสารบำรุงผิวที่ขึ้นชื่อเรื่องการลดริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ แต่แม้จะมีประสิทธิภาพสูง ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ผิวแห้ง ลอก หรือไวต่อแดดได้ หากใช้ผิดวิธี การเริ่มจากสูตรอ่อนโยน ค่อย ๆ เพิ่มความถี่ และจับคู่กับสกินแคร์ที่เหมาะสม จะช่วยให้เห็นผลชัดเจนโดยไม่ระคายเคือง
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ We Clinic ยินดีให้คำปรึกษาฟรี
โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง facebook หรือ Line ได้ที่นี่เลยครับ